นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy)

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัดและบริษัทในเครือ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ("พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล") ด้วยบริษัทฯ ได้มีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ผู้สมัครงาน บุคลากร และบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้จัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล การทำลายข้อมูล อีกทั้งสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและการให้บริการใดๆ ของบริษัท เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบและถือปฏิบัติต่อไป

1. ขอบเขตการบังคับใช้

นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ มีขอบเขตการบังคับใช้ครอบคลุมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัทฯ รวมถึงบุคคลใด ๆ ซึ่งล่วงรู้ข้อมูลส่วนบุคคลเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายรวมทั้งนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้

2. คำนิยาม

“บริษัทฯ” หมายถึง บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัดและบริษัทในเครือ 

“บุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดา

“เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงบุคคลที่ถึงแก่กรรม

“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์  ความคิดเห็นทางการเมือง ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลในทำนองเดียวกันตามที่คณะกรรมการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด

“การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการเก็บ รวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

“ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคล หรือ นิติบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

“ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

3. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีแหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล วัตถุประสงค์และหลักการในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังต่อไปนี้

3.1 แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล

3.1.1 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากการกรอกข้อมูลข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านเอกสาร และ/หรือแบบฟอร์มต่างๆ และ/หรือแบบสอบถาม (Survey) ของบริษัทฯ ทั้งในรูปแบบกระดาษ และรูปแบบออนไลน์ หรือการเข้าใช้งานผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์ หรือระบบเว็บไซต์ของบริษัทฯ ผ่านคุกกี้ (Cookies)

3.1.2 เก็บรวบรวมจากแหล่งอื่น ที่ไม่ใช่จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง เช่น การสืบค้นข้อมูลส่วนบุคคลผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์ หรือระบบเว็บไซต์ หรือการสอบถามบุคคลที่สาม  โดยบริษัทฯ จะแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ โดยไม่ชักช้าไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่บริษัทฯ เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งดังกล่าว รวมถึงจะดำเนินการขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนด

3.2 วัตถุประสงค์และหลักการในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

3.2.1 บริษัทฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมาย ที่ได้แจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไว้ก่อนหรือในขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพื่อประโยชน์ในการให้บริการ เพื่อปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบต่างๆ เพื่อวิเคราะห์และจัดทำเอกสารตามคำร้องของหน่วยงานหรือองค์กรอื่นใดที่เกี่ยวข้อง หรือ อาจเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการภายในของบริษัทฯ และเพื่อบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้ง จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อน หรือในขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้ บริษัทฯ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมตามที่กฎหมายอนุญาต

(1) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์ หรือจดหมายเหตุเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัย สถิติ โดยบริษัทฯ จะจัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(2) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล

(3) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญา หรือเพื่อใช้ดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น

(4) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ ของผู้ควบคุมเจ้าข้อมูลส่วนบุคคล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

(5) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

(6) เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ส่วนบุคคลควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

3.2.2 ในกรณีเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือสัญญาหรือมีความจำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเข้าทำสัญญา หรือต้องให้ข้อมูลด้วยประการอื่นใด หากเจ้าของข้อมูลไม่ให้ข้อมูลเช่นว่านั้น อาจส่งผลให้ธุรกรรมหรือกิจกรรมอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถูกระงับหรือหยุดลงชั่วคราว จนกว่าบริษัทฯ จะได้รับข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทฯ ไม่สามารถประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นได้ หรือกฎหมายกำหนดห้ามมิให้มีการดำเนินธุรกรรมหรือกิจกรรมนั้นอีกต่อไป เป็นต้น

3.2.3 การเก็บรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว บริษัทฯ จะต้องขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนหรือในขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนข้อมูลที่มีความอ่อนไหวดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

4. การใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

การใช้และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทฯ จะดำเนินการตามวัตถุประสงค์และหลักการดำเนินการที่สอดคล้องตามข้อ 3.2 วัตถุประสงค์และหลักการในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล โดยบริษัทฯ อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นให้แก่หน่วยงานหรือบุคคลภายนอก ภายใต้ความยินยอมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เว้นแต่จะได้กระทำภายในกรอบที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเปิดเผยให้แก่บุคคลภายนอก องค์กร หรือหน่วยงานรัฐ ดังต่อไปนี้

(1) บริษัทในเครือ บริษัทในกลุ่ม

(2) คู่ค้า คู่สัญญา ผู้ให้บริการ พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท และ/หรือ ผู้แทนจำหน่าย

(3) หน่วยงานซึ่งดำเนินงานด้านข้อมูลเครดิต สถาบันการเงิน และ/หรือ ธนาคาร

(4) หน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

(5) หน่วยงาน หรือองค์กรอื่นใดที่เกี่ยวข้อง หรืออาจเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท และ/หรือ นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น

5. ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลตามระยะ ดังต่อไปนี้

5.1 ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้โดยเฉพาะ

5.2 ในกรณีที่กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้โดยเฉพาะ บริษัทฯ จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ บริษัทฯ จะกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บตามความจำเป็นที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานของบริษัท เมื่อพ้นระยะเวลาการจัดเก็บรักษาดังกล่าว บริษัทฯ จะดำเนินการลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้

6. การรักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทฯ จะจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการโจรกรรม หรือการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจ หรือ โดยขัดต่อกฎหมาย

7. การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

ในกรณีที่เกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทฯ จะดำเนินการแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายใน 72 ชั่วโมง นับแต่เมื่อบริษัทฯ ทราบถึงเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว หรือในที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล บริษัทฯ จะดำเนินการแจ้งเหตุละเมิดพร้อมแนวทางเยียวยาเหตุละเมิดดังกล่าวให้เจ้าของข้อมูลทราบโดยไม่ชักช้า

8. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

นโยบายนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อทำให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมั่นใจว่า สามารถใช้สิทธิที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้ดังต่อไปนี้

8.1 สิทธิในการขอเพิกถอนความยินยอม เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมที่เคยให้บริษัทจัดเก็บ รวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อใดก็ได้ โดยผู้ควบคุมข้อมูลต้องรับประกันให้การขอถอนความยินยอม ง่ายเหมือนกับวิธีที่ได้รับความยินยอมด้วย ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทขอความยินยอมในการส่งข่าวสารทางอีเมล ผ่านการกดปุ่ม Subscribe เมื่อเจ้าของข้อมูลต้องการขอถอนความยินยอม ก็ต้องสามารถกดปุ่ม Unsubscribe ได้ทันทีเช่นกัน เป็นต้น

8.2 สิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอเข้าถึง หรือขอรับสำเนา ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทฯ รวมถึงขอให้บริษัทฯ เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้ให้ความยินยอม ทั้งนี้บริษัทฯ มีสิทธิปฏิเสธคำร้องขอ หากเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือการเข้าถึง หรือขอรับสำเนานั้นส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น    

สำหรับการขอใช้สิทธินี้บริษัทจะมีหน้าที่ในการพิจารณาและดำเนินการตามคำร้องขอ ภายใน 30 วันหลังจากที่เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีหนังสือตอบกลับการรับแจ้งการขอใช้สิทธิ

8.3 สิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะขอแก้ไข หรือขอเพิ่มเติมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เพื่อให้ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งกรณีดังกล่าวโดยหลักบริษัทฯ ต้องดำเนินการตามคำขอได้

8.4 สิทธิขอให้ลบ หรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้

หากเจ้าของข้อมูลเห็นว่าข้อมูลที่บริษัทจัดเก็บนั้น ไม่มีความเป็นจำเป็นหรือเป็นข้อมูลที่ประมวลผลโดยไม่ถูกต้อง เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะขอให้บริษัททำลายข้อมูลส่วนบุคคลนั้นทั้งหมด หรือลบบางชุดข้อมูลให้ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ ในกรณีการขอใช้สิทธินี้ ถ้าบริษัทฯ มีความจำเป็นที่อธิบายได้ว่า  บริษัทฯ มีความจำเป็นด้วยฐานใดหนึ่งในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ บริษัทฯ ก็สามารถแจ้งปฏิเสธการใช้สิทธิเจ้าของข้อมูลได้เช่นกัน

8.5 สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล กรณีที่บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลด้วยฐานประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของข้อมูลมีสิทธิในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากการเก็บ รวบรวม หรือใช้ข้อมูลนั้น ส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมากเกินควร

8.6 สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล กรณีอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้อง หรือหากเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจะต้องลบ หรือทำลายเพราะหมดความจำเป็นแล้ว เจ้าของข้อมูลมีสิทธิในการขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นการชั่วคราวได้

8.7 สิทธิในการขอโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บในรูปแบบอัตโนมัติ กรณีข้อมูลส่วนบุคคลเก็บอยู่ในรูปแบบที่สามารถโอนได้โดยอัตโนมัติ เจ้าของข้อมูลสามารถแจ้งขอให้บริษัททำการส่งต่อข้อมูลไปยังบริษัทอีกแห่งได้

8.8 สิทธิในการร้องเรียน เมื่อเราได้รับคำขอใด ๆ ข้างต้น จากท่าน เราจะปฏิบัติตามคำขอเมื่อมีการยืนยันตัวตนของท่าน เว้นแต่จะมีเหตุสมควรที่จะปฏิเสธคำขอดังกล่าว

9. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ

บริษัทฯ อาจมีความจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังบริษัทในโครงข่ายของบริษัทที่อยู่ต่างประเทศ หรือไปยังผู้รับข้อมูลอื่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจตามปกติของบริษัทฯ เช่น การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือคลาวด์ (Cloud) ในประเทศต่าง ๆ บริษัทฯ จะคำนึงและพิจารณาว่าประเทศปลายทางได้ถูกรับรองว่ามีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ

10. การทบทวนและปรับปรุงนโยบาย

บริษัทฯ จะพิจารณาทบทวนนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำทุกปี

11. การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัว

นโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัทฯ อาจมีการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข โดยมิได้มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัว บริษัทฯ จะแสดงนโยบายฉบับที่เป็นปัจจุบันไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทฯ

12. วิธีการติดต่อ

หากท่านมีข้อสงสัย หรือความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับนโยบายฉบับนี้ หรือหากท่านต้องการให้เราปรับปรุงข้อมูล ท่านสามารถติดต่อ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด
สำนักงานใหญ่ เลขที่ 666 ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
โทรศัพท์ 02-682-1821 ติดต่อในเวลาทำการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00 - 17.00 น.
Email : dpo@lion.co.th


นโยบาย

1.นโยบายความเป็นส่วนตัวกับ CCTV
2. นโยบายการใช้คุกกี้


ดาวน์โหลดเอกสาร

1. เจ้าของข้อมูลมีความประสงค์ขอใช้สิทธิ์ตาม พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล
2. เจ้าของข้อมูลมีความประสงค์ถอนความยินยอมตาม พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล

 

 

 

  • เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น การใช้งามเว็บไซต์นี้ เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้บริษัทใช้คุกกี้และจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตาม
    นโยบายการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล   นโยบายการใช้คุกกี้